วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สติปัญญาและความยำเกรงพระเจ้า

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 21 สิงหาคม 2557

โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์
สติปัญญา หมายถึง ความสามารถหรือ ความรอบรู้ที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ก่อนที่เราจะทำในสิ่งที่ถูกต้องได้นั้น เราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าพระเจ้ามองเห็นบางคนที่อยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ  ดังนั้น พระองค์จะอนุญาตให้คนคนนั้นมีความเข้าใจ (ยน.7:17)

ถ้าใครบางคนแค่อยากได้ปัญญา เพื่อจะได้เป็นคนรู้มาก หรือเพื่ออวดฉลาด นั่นไม่ใช่ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง ที่พระองค์จะทรงประทานปัญญาให้กับคนนั้น(มธ.11.25) แต่ถ้าเราต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นั่นล่ะพระเจ้าจะประทานความกระจ่างให้เราได้ (อฟ.1.17, ยก.1.5)

ขั้นตอนแรกในการแสวงหาปัญญาขัดกับความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเราเสียแล้ว จุดเริ่มต้นของปัญญาคือความยำเกรงพระเยโฮวาห์  (สดด.111:10   สภษ 1:7)  ความยำเกรง หรือเกรงกลัวพระเยโฮวาห์ ในที่นี้คือ การที่จะรู้ว่าพระเจ้าลงโทษความบาป และเราทุกคนเป็นคนบาป 

เยชูวาห์(พระเยซูในภาษาฮีบรู)ให้คำนิยาม ความยำเกรงพระเยโฮวาห์ว่า เป็นการกลัวการถูกพิพากษาในบึงไฟนรกนิรันดร์หลังความตาย (ลก.12:5) นั่นคือบทสรุปของคำว่า ความยำเกรงพระเจ้า

แต่กระนั้นก็ดี ในตอนเดียวกัน พระเยซูยังพูดถึง 7 ครั้ง ในเรื่องการอย่ากลัวสิ่งใด มนุษย์หน้าไหน หรือสถานการณ์ใดใด    (ลก.12:4 7,11,22,26,29,32) ความเกรงกลัวพระเจ้าขจัดทุกความกลัวอื่นๆ ในชีวิต  ความยำเกรงพระเจ้าคือการที่ไม่มีความกลัวในภยันอันตรายใดๆเลย ดังนั้น ความยำเกรงพระเจ้า สามารถให้ความหมายเท่ากับ ความกล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง หรือความกล้าหาญด้านศีลธรรมด้วย

เมื่อเราตระหนักแล้วว่า พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษความชั่วร้าย ดังนั้นเราจะต้อง :

1. หยุดการกระทำของเราที่เป็นสิ่งที่ผิด 

2. ไม่กลัวความชั่วร้ายในผู้คน

3. สู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในโลก

สภษ. 8:13 การยำเกรงพระยาโฮวาห์ คือการเกลียดชังความชั่วร้าย

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ ที่เราส่วนใหญ่ กระตือรือร้นในเรื่องการเห็นแก่ตัว แต่เฉื่อยช้าในเรื่องการต่อสู้กับความชั่วร้าย ความยำเกรงพระเจ้าจะเป็นพลังอำนาจให้กับเราในการต่อต้านกับความชั่ว เริ่มต้นจากภายในเราก่อน และส่งผลไปยังผู้อื่น มีคนเคยกล่าวว่า สิ่งจำเป็นที่สำคัญในการมีชัยชนะต่อสิ่งชั่วร้ายก็คือ การที่คนดีไม่ลุกขึ้นทำอะไรเลยความยำเกรงพระยาโฮวาห์ จะทำให้คุณมีความกล้าหาญทางศีลธรรม กล้าในทางที่ถูกต้อง เพื่อจะลุกขึ้นต่อสู้กับความชั่วร้าย


ความยำเกรงพระเจ้าเป็น จุดเริ่มต้นของสติปัญญา แต่กระนั้นก็ดี คนจำนวนมาก ยังคิดว่าความยำเกรงพระเจ้า มีความสำคัญเป็นลำดับสุดท้ายที่จะต้องทำความเข้าใจ ขอให้เราเป็นคนที่ขยันขันแข็งในการแสวงหาความยำเกรงพระเจ้า อย่างที่พระเยซูทำไว้เป็นแบบอย่าง คือลักษณะนิสัยประจำวันของพระองค์ที่ลุกขึ้นอธิษฐานแต่เช้ามืด ด้วยการร้องไห้และการคร่ำครวญ (ยรม.5:24, โยบ28:28, มก 1:35, ฮบ.5:7)

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความรอดของชาวอาหรับ


"ในวันนั้น จะมีทางหลวงจากอียิปต์ถึงอัสซีเรีย และคนอัสซีเรียจะมายังอียิปต์ และคนอียิปต์ไปยังอัสซีเรียและคนอียิปต์และคนอัสซีเรียจะนมัสการด้วยกัน ในวันนั้น อิสราเอลจะเป็นที่สามร่วมกับอียิปต์และอัสซีเรีย ซึ่งเป็นพรท่ามกลางแผ่นดินโลก และเป็นพวกที่พระยาห์เวห์จอมทัพทรงอวยพรว่า ' อียิปต์ชนชาติของเรา อัสซีเรียผลงานแห่งมือขวาของเรา และอิสราเอลมรดกของเรา จงรับพรเถิด' " อิสยาห์ 19:23-25 
ตามที่ อิสยาห์ 19:23-25 ได้ระบุไว้ว่า ตะวันออกกลางไม่อาจเป็นพรได้ หากปราศจากการถือกำเนิดขึ้นใหม่ของอิสราเอล (ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงในปี 1948) และการคืนดีกันในที่สุดระหว่างชาวยิวและอาหรับ

พระกิตติคุณเรื่องพระเยซูจะมีชัยเหนือมุมมองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเมสสิยาห์ในอิสลามและศาสนายิว เมื่อเราอธิษฐานและประกาศพระกิตติคุณอย่างกล้าหาญ คนอาหรับและคนยิวก็จะได้รับการปลดปล่อยจากคำแช่งสาบที่อยู่เหนือพวกเขา และโดยร่วมกัน พวกเขาจะเป็นพระพรในท่ามกลางแผ่นดินโลก

เนื่องจากสันติภาพในเยรูซาเล็มนั้นแสดงถึงการคืนดีและการรื้อฟื้นที่สูงสุดของโลกนี้ ตามระเบียบแบบแผนและพระประสงค์ของพระเจ้า ประเด็นที่ว่านี้ ฝังลึกอยู่ในหัวใจและความคิดของชาวยิว อาหรับ และคนอื่นๆ ในกระบวนการสันติภาพของพระเจ้านั้น องค์สันติราชโดยเครื่องบูชาแห่งการไถ่ของพระองค์จะเชื่อมประสานความแตกร้าวที่ลึกระหว่างบุคคลและกลุ่มคน ความแตกแยกเช่นนี้แหละที่แบ่งแยกชาวมุสลิมและคนยิวในทุกวันนี้

เมื่อเราวิงวอนอธิษฐานเพื่อสันติภาพในเยรูซาเล็ม เราต้องตระหนักว่าการศึกของเรานั้นไม่ใช่ต่อชาวยิวเคร่งศาสนาที่ควบคุมพื้นที่ส่วนมากของเยรูซาเล็ม และก็ไม่ใช่ไปต่อกรกับชาวมุสลิมที่ควบคุมภูเขาที่ตั้งพระวิหาร เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อและเลือด ไม่ว่าคนพวกนี้จะมีทัศนะในทางลบต่อความเชื่อในพระเยซู พระเมสสิยาห์ อย่างแรงจัดและออกนอกหน้าขนาดไหน "แต่เราทำสงครามกับวิญญาณปฏิปักษ์พระเมสสิยาห์ที่ทำให้ทั้งชาวยิวและอาหรับมืดบอด นี่คือสงครามสูงสุด" 

หนึ่งในบรรดาองค์ประกอบสำคัญในการเตรียมทางเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า คือ การคืนดีกันของยิวและอาหรับในพระเมสสิยาห์ พระเจ้าต้องการจะเก็บกวาดเอาวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ในอิสลามและความมืดบอดต่อพระเมสสิยาห์ออกไป ซึ่งมันได้กดขี่ชาวยิวในเยรูซาเล็มและทั่วทั้งอิสราเอล 
"เราจะเทวิญญาณแห่งความโปรดปรานและการวิงวอนบนราชวงศ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม ดังนั้นเมื่อเขาทั้งหลายมองดูท่าน ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง เขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน เหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรคนเดียวของตน และร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนอย่างคนร้องไข้เพื่อบุตรหัวปีของตน" เศคาริยาห์ 12:10
พระเจ้าสัญญาว่าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์เหนือราชวงค์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม... แต่เหตุใดพระองค์จึงใส่ "ชาวเยรูซาเล็ม" เพิ่มเข้ามาด้วย ? นั่นก็เพราะว่า จะมีคนอาหรับมากมายและผู้เชื่อนานาชาติในเยรูซาเล็มด้วยเช่นกัน พระเจ้ากำลังจะเปิดน้ำพุเหนือราชวงศ์ดาวิด (คนยิว) และเหนืออาหรับ และคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มด้วย....

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การคืนดีระหว่างคนยิวและคนอาหรับ

         :: บทความจากหนังสือ 5 สายธาร หน้า46-48 ผู้แต่ง อ.อาเชอร์ อินเทรเตอร์ ::


          เช่นเดียวกันกับที่การคืนดีของคนผิวดำและคนผิวขาวเป็นกุญแจนำไปสู่การปลดปล่อยฤทธิ์เดชแห่งการฟื้นฟูในเมื่องต่างๆของสหรัฐอเมริกา การคืนดีระหว่างคนยิวและคนอาหรับก็เป็นกุญแจซึ่งนำไปสู่การปลดปล่อยการฟื้นฟู
ที่เยรูซาเล็ม ยูเดีย และสะมาเรีย (เวสแบงค์-ตะวันตก) และดินแดนส่วนอื่นๆ ของตะวันออกกลาง
          พระกิตติคุณของพระเยซูจะนำคนอาหรับให้มาถึงความรู้เรื่องความรอดในพระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ และพระกิตติคุณก็นำคนยิวมาสู่ความรู้เรื่องความรอดในพระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์เช่นเดียวกัน และพระกิตติคุณจะสอนเขาทั้งสองให้รักซึ่งกันและกัน โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณพระเจ้าและสำแดงชีวิตที่เป็นสักขีพยานของการคืนดีต่อกันและกันให้กับโลกซึ่งอยู่ล้อมรอบได้เห็น สักขีพยานการคืนดีกันในลักษณะนั้นจะปลดปล่อยฤทธิ์เดชของการฟื้นฟูซึ่งจะกระจายไปทั่วดินแดนตะวันออกกลาง
          ปัญหาการคืนดีกันของคนยิวและคนอาหรับนั้นมีความแตกร้าวซึ่งลงลึกมาก ความแตกแยกนี้ลงลึกยิ่งกว่าปัญหาระหว่างเชื้อชาติใดๆ ในประวัติศาสตร์โลก รากของความแตกแยกระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาวในสหรัฐฯ นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของการเป็นศัตรูกันระหว่างคนยิวและคนอาหรับซึ่งกินเวลา 3000 ปี นั้นแตกต่างกันมากทีเดียว
(อาโมส 1:11 โอบาดีห์ 1:10)
          ความตึงเครียดในปัจจุบันในดินแดนตะวันออกกลางคุกคามให้ัมีการเผชิญหน้ากันทางทหารระหว่างชนชาติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดดังกล่าวเกิดขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณมากกว่าในฝ่ายการเมื่อง แม้มุมมองที่ไม่ถูกต้องและอุปสรรคทางด้านเชื้อชาติระหว่างคนยิวและคนอาหรับจะลึกมากเพียงใดก็ตาม อุปสรรคเหล่านี้จะถูกพิชิตได้โดยฤทธิ์พระกิตติคุณ พระกิตติคุณได้ถูกหยิบยื่นถึงคนอาหรับและยิวแล้ว นิมิตหมายสำหรับพันธกิจการคืนดีระหว่างคนยิวกับคนอาหรับได้เริ่มขึ้นแล้ว
"ในวันนั้น อิสราเอลจะเป็นที่สามร่วมกับอียิปต์และอัสซีเรีย ซึ่งเป็นพรท่ามกลางแผ่นดินโลก" อิสยาห์ 19:24

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความชอบธรรมและสงครามฉนวนกาซา

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2557 


โดยแอเรียล บลูเมนเธล

          กว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่เราอธิษฐานเผื่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา พระวิญญาณได้เน้นในหลายข้อความใน อิสยาห์ 51 บทหลักที่เกี่ยวกับ “ความชอบธรรม”
          ข้อ 1 : จงฟังเราซี เจ้าทั้งหลายผู้ขวนขวายหาความชอบธรรม เจ้าผู้แสวงพระเจ้า...
         คริสเตียนที่จริงใจส่วนใหญ่ พวกที่อยู่ฝ่ายอิสราเอลหรือต่อต้านอิสราเอล กำลังห่วงใยอย่างมากในประเด็นของความชอบธรรมและความยุติธรรม  แต่ในขณะเดียวกันที่เรากำลังดูผ่านสื่อที่เปิดเผยให้เห็นถึงสถานการณ์ในฉนวนกาซาด้วยจำนวนของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บที่กำลังเพิ่มขึ้นของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งสถานการณ์นี้เหมือนกับว่าเป็นเกมส์ตัวเลข คล้ายกับการแข่งขันฟุตบอลโลก นัดการแข่งขันที่เยอรมันเอาชนะบราซิล เกมส์การแข่งขันดูเหมือนว่าจะไม่สมดุลอย่างมาก ชาวอาหรับปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากกำลังล้มตาย ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตชาวอิสราเอลค่อนข้างต่ำ  และนี่ไม่ใช่ “สงคราม” ที่ธรรมดา แต่มันเป็นสงครามที่สำคัญมากทั้ง สงครามบนพื้นดินในสมรภูมิรบและสงครามอันรุนแรงบนโลกอินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายบนสังคมออนไลน์ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างบอกเล่าเรื่องของฝ่ายตนเพื่ออ้างความชอบธรรมทางศีลธรรมที่สูงกว่าอีกฝ่ายใครตกเหยื่อมากกว่ากัน มันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากว่าจะแยกได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกและอะไรคือสิ่งที่ผิดในสถานการณ์อันซับซ้อนเช่นนี้ จะสามารถพบความชอบธรรมของพระเจ้าได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้?
          ข้อ 2 : “จงมองอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย...”
          มีความจริงอันมั่นคงแห่งพระวจนะที่ลึกซึ้งถูกเปิดเผยที่นี่ ความชอบธรรมของพระเจ้าคือสิ่งแรกและมาก่อน ไม่ใช่ประเด็นของความถูกต้องของมนุษย์ที่บอกว่าถูกหรือผิด หรือไม่ใช่ประเด็นของการที่จำนวนร่างของผู้เสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย กำลังเพิ่มขึ้น แต่มันเกี่ยวกับการเลือกของพระองค์ คือสิทธิ์ของพระองค์ในฐานะที่เป็นพระเจ้าและผู้ครองโลกนี้ และการที่พระองค์จะเลือกตามพระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์ อิสยาห์ซึ่งเหมือนกับอัครทูตเปาโลในพระธรรมโรม ที่ชี้ให้เราเห็นการเลือกของพระเจ้าในกรณีของ อับราฮัมและซาราห์ อิสอัคและยาโคบ... หรือเหนือสิ่งอื่นใดคือการเลือกชนชาติอิสราเอล (ชนชาติ = ประชาชนและดินแดน) ซึ่งการทรงเลือกอิสราเอล เป็นสิ่งแรกของการเข้าใจในความชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าทรงความชอบธรรมสูงสุดเพราะว่าพระองค์คือพระราชาและผู้สร้างโลกนิรันดร์ ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะมาตรฐานทางศีลธรรมที่พระองค์ทรงส่งผ่านมายังมนุษย์ หรือไม่ใช่เพียงเพราะว่าอับราฮัมคือบุคคลที่ชอบธรรมที่สุดและเป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่ (แน่นอนว่า ลำดับความสำคัญถัดไปของความชอบธรรม มีมาตรฐานอันสูงอย่างไม่น่าเชื่อของศีลธรรมและความยุติธรรมที่เราต้องแสวงหาเพื่อเชื่อฟัง)
          ข้อ 3 : เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเล้าโลมศิโยน...”
          บทเรียนสำหรับเราในช่วงยุดสุดท้ายเช่นนี้คือ สิ่งนี้ เพื่อที่จะสามารถเข้าใจความชอบธรรมและความยุติธรรมได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับ อิสราเอล/เยรูซาเล็ม/ศิโยน อย่างแรกเราต้องยอมรับการทรงเลือก โดยเฉพาะเจาะจงคือการเลือกอิสราเอลและชนชาติยิวของพระองค์ ผ่านทางอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และเหนือสิ่งอื่นใดการเลือกหนึ่งเดียวของกษัตริย์แห่งอิสราเอล จอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เยชูวา(พระเยซูคริสต์ในภาษาฮีบรู) สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่อิสราเอลทำนั้นถูกต้อง  มากไปกว่านี้สิ่งที่อิสราเอลทำสำหรับผู้เชื่อทุกคน ก็ถูกเลือกโดยพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์คือผู้เดียวที่กำหนด เรียก ให้ความยุติธรรม และให้เกียรติสง่าราศี (โรม8:28-30) ถ้าเราไม่ได้จดจำลำดับความสำคัญทางพระคัมภีร์ สิทธิ์ของพระองค์ที่ทรงสัตย์ซื่อถึงการทรงเลือกอันสง่างามของพระองค์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สมควรเลย เราอาจจะตกอยู่ในอันตรายของการหลอกลวงที่จะเกิดขึ้นเสมอ โดยพยายามจะค้นหาให้ได้ว่าใครที่ถูกหรือผิดมากกว่ากันในท่ามกลางสถานการณ์อันซับซ้อนอย่างมากมายเช่นนี้ และที่ฉลาดมากไปกว่านี้คือการถูกล้างสมองจากสื่อ “หามิได้เลย ถึงแม้ทุกคนจะอสัตย์ ก็ขอให้พระเจ้าทรงสัจจะเถิด…” (โรม 3:4)
ความสงสารที่มีต่อชาวกาซ่า
ยิ่งเราสงสารชาวกาซ่ามากเท่าไร เรายิ่งควรจะต้องทำลายอำนาจเผด็จการของมุสลิมหัวรุนแรงฮามาส (Hamas) ยิ่งเรามีความสงสารต่อพวกเขาน้อยเท่าไร มันยิ่งง่ายกว่าที่เราจะยอมรับการหยุดยิงและปล่อยให้ฮามาสเดินหน้าในการครอบครองต่อไป
ให้เราจำไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า (YHVH คือพระนามพระเจ้า) ของกองทัพ พระองค์สามารถให้พระวิญญาณแห่งชัยชนะ สงครามก็สามารถถูกชนะได้ ความชอบธรรมสามารถมีชัย พระเจ้าไม่ทรงเกรงกลัว จนถึงทุกวันนี้พระองค์ไม่เคยพ่ายแพ้สงคราม พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแม่ทัพของกองทัพแห่งสวรรค์ (อพยพ15:2, โยชูวา5:13, วิวรณ์19:11)
          พระเยซูคริสต์สอนเราว่าในสงครามฝ่ายวิญญาณ เราต้องผูกมัดผู้มีกำลังมากเป็นสิ่งแรกและจากนั้นริบเอาสิ่งของไป (ลูกา11:21) ผู้มีกำลังมากในที่นี้คือวิญญาณของอิสลามหัวรุนแรง สิ่งของในที่นี้คือจิตวิญญาณของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องการความรอด เราเชื่อว่าถ้าเราอธิษฐานผูกมัดพลังอำนาจของมารที่อยู่เบื้องหลังสงครามนี้ จากนั้นกลุ่มก่อการร้ายจะถูกทำลาย และคลื่นลูกใหม่แห่งเสรีภาพทางศาสนา ความรอด สันติภาพ และความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองจะตามมา

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

องค์จอมพลโยธา

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 


โดย Francis Frangiapane
          พระลักษณะของพระเจ้าถูกสำแดงอยู่ในพระนามของพระเจ้าเช่น พระยาห์เวห์-นิสสี (พระเจ้าทรงเป็นธงชัยของข้า) หรือ พระยาห์เวห์-ยิเรห์ (พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม) หรือ พระยาห์เวห์-ราฟา (พระเจ้าผู้ทรงรักษา) มีเหตุการณ์ในพระคัมภีร์กว่า 30 ครั้ง พระเจ้าได้สำแดงพระลักษณะนิรันดร์ของพระองค์ที่พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์
          แต่มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นแยกออกจาก 30 ข้อที่อ้างถึงนี้  ชื่อนี้ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น 290 ครั้ง เกือบเป็น 10 เท่าของการเปิดเผยสำแดงชื่ออื่นๆทั้งหมด! ชื่อนั้นคืออะไร? พระยาห์เวห์-เซบาโบท “พระเจ้าจอมโยธา” (พระเจ้าผู้ทรงเป็นนักรบ)
          ในการต่อสู้ในชีวิตส่วนตัว, ครอบครัว, บ้านเมือง และประชาชาติ  มีเพียงพระเจ้าจอมพลโยธา ที่เราอยากจะติดตามเข้าไปในสนามรบ คือพระเจ้าจอมโยธาผู้ที่มาพบโยชูวาที่เยรีโค (ยชว. 5:14) เเละทรงนำดาวิดในสงครามที่มีชัยชนะเหนือพวกฟิลิสเตีย (1 ซมอ. 17:45)
          เราจำเป็นต้องเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นดั่งแม่ทัพใหญ่ของกองทัพแห่งฟ้าสวรรค์ เป็นผู้ควบคุมจักรวาล พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งในฟ้าสวรรค์เเละแผ่นดินโลก “เหล่าพลโยธาในสวรรค์…ตามเสด็จพระองค์ไป” (วว.19:14)
บทความเต็มจาก องค์จอมพลโยธา  ภาคที่ 1  http://francisfrangipanemessages.blogspot.co.il/2014/06/the-lord-of-armies.html
องค์จอมพลโยธา  ภาคที่ 1
          หนังสือเล่มนี้ถูกเรียกว่า “วันนี้เราสู้” สำหรับเหตุผล  ชนชาติของเราอยู่ภายใต้การโจมตีทั้งในฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายกายภาพ พระเจ้าได้ทรงเรียกให้คริสตจักรของพระองค์ก้าวขึ้น  เจริญเติบโตขึ้น  รับดาบแห่งพระวิญญาณและต่อสู้เพื่ออนาคต พี่น้องที่รัก  เราสามารถเห็นชนชาติของเราหันออกจากความบาปและหันไปสู่แผ่นดินสวรรค์  อย่าได้สงสัย!!
         มันจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไปที่ในวันนี้  อเมริกาคือประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก พิจารณาได้จากการที่พระเจ้าทรงใช้แผ่นดินนี้ ถ้าฮอลิวูดได้รับการฟื้นฟู หรือ ถ้าหน่วยงานรัฐบาลกลายมาเป็นแบบจำลองของความซื่อสัตย์และความยุติธรรม
         คุณอาจจะคิดว่าฉันกำลังฝัน และมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ฉันขอพูดอีกครั้ง “อย่าสงสัย” เพราะพระเยซูได้ตรัสว่า “ทุกสิ่งเป็นไปได้” คุณอาจจะได้เป็นนักรบอธิษฐานมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่คุณได้ประสบกับความล้มเหลว  โอเค ครั้งที่หนึ่งผ่านไปแล้ว  ตอนนี้คือเวลาในครั้งที่สอง พระเจ้ากำลังเรียกเราให้กลับไปมองและอธิษฐาน มันเป็นเวลาที่จะเริ่มใหม่!!  มันเป็นเวลาที่จะหยิบดาบแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นมาและเข้าร่วมในกองทัพแห่งชัยชนะของคริสตจักร ต่อต้านเมฆหมอกแห่งการกดขี่  และอธิษฐาน
พระเจ้าและกองทัพของพระองค์
         ฉันรู้ว่าบางคนยังคงพูดว่า “ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันไม่เข้าใจการมีแนวคิดการสู้รบ ฉันเพียงแค่ยังไม่เห็นมันในพระเจ้าหรือในพระคัมภีร์”
        ศัตรูนั้นชาญฉลาด มันสามารถปิดบังรูปแบบบางอย่าง เป็นหนึ่งในการเปิดเผยสำแดงที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ นั่นคือพระลักษณะของพระเจ้า ซึ่งถูกเปิดเผยในพระนามของพระองค์  ตัวอย่างเช่นระยาห์เวห์-นิสี (พระเจ้าทรงเป็นธงชัยของข้า) หรือ พระยาห์เวห์-ยิเรห์ (พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม) หรือ พระยาห์เวห์-ราฟา (พระเจ้าผู้ทรงรักษา) ในการสำแดงพระองค์เองผ่านชื่อเหล่านี้ ในประมาณ 30 เหตุการณ์ที่แตกต่างกันในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้สำแดงพระลักษณะนิรันดร์ของพระองค์ที่พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์
         แต่มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่น มันเกิดขึ้นโดยประมาณ 290 ครั้งในพระคัมภีร์ เกือบสิบเท่าของการสำแดงทั้งหมด ชื่อนั้นคืออะไร?  ฉันขอแนะนำคุณกับ พระยาห์เวห์ เซบาโอท (พระเจ้าจอมโยธา )  เป็นชื่อเดียวจากทั้งหมด ที่เราจะเห็นว่า พระเจ้าจอมโยธา (หรือพระเจ้าผู้ทรงเป็นนักรบ) เป็นการสำแดงของพระเจ้าที่บ่อยมากต่อมวลมนุษย์ในพระคัมภีร์
         เมื่อเราพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตส่วนตัวของเรา หรือ การทำสู้รบเพื่อครอบครัวของเรา  เมืองของเรา  ชนชาติของเรา  มีเพียงพระเจ้าจอมโยธาที่เราต้องการจะติดตามเข้าไปสู่สงคราม เป็นพระเจ้าจอมโยธาผู้ที่มาพบโยชูวาที่เยรีโค (โยชูวา 5:14) และเป็นผู้ซึ่งนำดาวิดเข้าสู่สงครามต่อสู้กับคนฟิลิสเตียน (1 ซามูเอล 17:45)
          ถ้าเราจะประสบความสำเร็จในสงครามของเรา เราจำเป็นต้องเห็นพระเจ้าเป็นดังผู้บังคับบัญชาที่ยิ่งใหญ่นั่นคือสิ่งที่พระองค์เป็น เพื่อเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพแห่งฟ้าสวรรค์ผู้ที่เราติดตาม  พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมจักรวาล  พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  “เหล่าพลโยธาในสวรรค์…ตามเสด็จพระองค์ไป” (วว.19:14)

พระเจ้าองค์จอมทัพ

โดย Asher Intrater
          พระคัมภีร์พรรณาถึงพระเจ้าเป็นดั่ง “บุรุษแห่งสงคราม” (อพย, 15:3; อสย, 42:13) พระเยชูวาห์(ชื่อภาษาฮีบรูของพระเยซูคริสต์) ถูกมองว่าเป็นแม่ทัพของกองทัพทูตสวรรค์แห่งฟ้าสวรรค์  ในเหล่าผู้เผยพระวจนะ (ยชว. 5:13) เเละในการเสด็จกลับมาด้วยพระสิริ ในพันธสัญญาใหม่ (วว. 19:11)
         มีการเจิมหลายประเภทที่มาจากพระเจ้าในหลายทางที่พระองค์ทรงสำแดงแก่มนุษย์ พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ  แต่ “ในเวลาแห่งความยากลำบาก พระเจ้าทรงอยู่ใกล้มากที่จะช่วยเหลือ” (สดด. 46:2) พูดอีกอย่างหนึ่ง คือมีการแทรกแซงมิติแห่งการทรงสถิตในสถานการณ์ต่างๆที่พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เป็นพระเจ้าองค์จอมทัพ (YHVH of Armies) เรากำลังสัมผัสอย่างเดียวกันนี้ได้ในอิสราเอลทุกวันนี้  นอกเหนือไปจากความก้าวหน้า “ของโลก” อย่างเช่นระบบไอรอนโดมป้องกันขีปนาวุธ เเละยังมีความรู้สึกที่พิเศษอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือสันติสุขในใจ, การปกป้องคุ้มครอง เเละความมั่นใจเกิดขึ้นกับประชาชนของเรา ทั้งในทางโลกและฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน 
          พวกเราวางใจในพระเมตตาอันแสนพิเศษของพระเจ้าต่อทัศนคติที่ชอบธรรมของรัฐบาลอิสราเอลเเละทางการทหาร เเละยังรวมถึงเครือข่ายของคำอธิษฐานเผื่ออันยิ่งใหญ่ที่ถูกยกขึ้นต่ออิสราเอลจากคริสเตียนทั่วโลก

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มูลรากแห่งการต่อต้านชาวยิว

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 


โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์


ภายหลังจากที่อาดัมและเอวาล้มลง พระเจ้าได้ทรงสัญญาว่า "พงศ์พันธุ์" ของหญิงจะถือกำเนิดเกิดขึ้นมาเพื่อทำให้หัวของงูแหลก (ปฐมกาล 3:15) นั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างพระเจ้ากับซาตาน พงศ์พันธุ์นี้ได้ถือกำเนิดขึ้นผ่านทางชนชาวยิว  เพราะเหตุนี้มารซาตานจึงมีความพยายามที่จะฆ่าล้างชาวยิวมาโดยตลอยด เพื่อที่จะทำลายเมล็ดพันธุ์ของพระเมสสิยาห์ที่จะเกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา
          ตั้งแต่ต้นจนจบตลอดทั้งเล่มของพระคำภีร์โทราห์ ก่อนที่คนอิสราเอลจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา พวกเขาถูกโจมตีหลายต่อหลายครั้ง: 
          • ในอียิปต์ ฟาโรห์พยายามจะฆ่าเด็กชายทั้งหมดที่เกิดมา (อพยพ 1)
          • จากนั้นชาวอามาเลขก็โจมตีพวกเขา (อพยพ 17)
          • จากนั้นก็ชาวอัมโมน (กันดารวิถี 20:14)
          • ชาวคันนาอัน (กันดารวิถี 21:1)
          • กษัตริย์สิโหน และชาวอาโมไรต์ (กันดารวิถี 21:21)
          • กษัตริย์โอกจากเมืองบาชาน (กันดารวิถี 21:31)
          • กษัตริย์บาลาค และชาวโมอับ(กันดารวิถี 22)
          การเข้าโจมตีชาวยิวนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดในประวัติศาสตร์โบราณ (เอเสเธอร์ 3:6) ไม่ว่าจะเป็นในสมัยการปกครองของกษัตริย์เฮโรดในกิตติคุณข่าวประเสริฐ (มัธธิว 2:16) หรือในสมัยของอาณาจักรโรมัน  การต่อต้านชาวยิวได้แพร่กระจายไปในคริสตจักร  เข้าไปสู่ในยุโรป   พรรคนาซี  และในกลุ่มจิฮัดอิสลามหัวรุนแรงในปัจจุบัน  การต่อต้านชาวยิวนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คนยิวฉงนสงสัยว่า “ทำไมทุกคนดูเหมือนจะเกลียดพวกเรา?”
          สำหรับผม มันดูเหมือนว่ามูลรากของการต่อต้านชาวยิวก็คือ พระเยชวาห์ (พระเยซู) นั่นเป็นไปได้อย่างไรหรือ? ดังที่นักเขียนชาวอิสราเอลคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "ไม่ใช่เพราะพระเยชวาห์ถูกตรึงบนกางเขนท่ามกลางพวกเรา แต่เป็นเพราะเขาเกิดท่ามกลางพวกเรา" ไม่ใช่เพราะพันธสัญญาใหม่ต่อต้านชาวยิว แต่กลับเป็นตรงกันข้าม
พระเจ้าสำแดงพระองค์เอง
           พระเจ้าสำแดงพระองค์เองให้กับมนุษยชาติในร่างของมนุษย์คนหนึ่ง... และมนุษย์คนนั้นเป็นชาวยิว ชาวต่างชาติควรที่จะสรรเสริญเขาในฐานะพระคริสต์ และรับการปกครองของเขาอย่างกษัตริย์  ไม่เพียงเท่านั้น พระเมสสิยาห์ชาวยิวคนนี้ยังแต่งตั้งให้ชายชาวยิวอีก 12 คน ให้ร่วมปกครองโลกกับเขา (มัธธิว 19:28) นั่นเองที่ทำให้ต่างชาติอิจฉาและรู้สึกไม่พอใจ
           เพื่อนคริสเตียนอาหรับของเราบางคน  บอกว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐของพวกเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก  เพราะข้อความที่ไปถึงเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของพวกเขานั้นฟังดูเหมือนว่าชาวยิวมีความเหนือกว่า
          วันหนึ่งพระเยชวาห์จะเสด็จกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม และในตอนนั้น ซาตานจะถูกจองจำเป็นเวลา 1000 ปี การเสด็จกลับมาของพระพระองค์นั้นเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างพันธสัญญาและคำพยากรณ์ของชาวยิว (มัธธิว 23:39, เศคาริยาห์ 14) ซาตานไม่สามารถโจมตีพระเยชูวาห์โดยตรงได้ ดังนั้นมันจึงพยายามที่จะทำลายชาวยิวเพื่อที่จะขัดขวางการเสด็จกลับมาของพระองค์
          ชาวยิวผู้เคร่งครัดในศาสนายูดาห์บางกลุ่มโจมตีเมสซิยานิคยิว (ชาวยิวผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์)  นี่คือคล้ายคลึงกันระหว่างวิญญาณแห่งการต่อต้านผู้เชื่อในพระเมสสิยาห์ และวิญญาณแห่งการต่อต้านชาวยิว  ท้ายที่สุด ทั้งสองวิญญาณนี้ก็มีวัตถุประสงค์ที่จะหยุดการเสด็จกลับมาและการปกครองของพระเมสสิยาห์  การต่อต้านชาวยิวมีพยายามที่จะฆ่าเมล็ดพันธุ์ของพระเมสสิยาห์จาก "ภายนอก"  ส่วนการต่อต้านผู้เชื่อในพระเมสสิยาห์นั้น พยายามจะหยุดเมล็ดพันธุ์ของพระเมสสิยาห์จาก "ภายใน"
          นักเผยแผ่ศาสนาที่ต่อต้านความเชื่อเรื่องพระเมสสิยาห์ ได้บอกกับคนของเราว่า พวกเขาไม่ควรเชื่อในพระเยชูวาห์เพราะความเชื่อนี้ก่อให้เกิดการต่อต้านชาวยิวและหายนะ นี่คือคำพูดที่ขัดแย้งกันอย่างมาก : การต่อต้านชาวยิวคือการตอบสนองที่มีต่อพันธสัญญาใหม่  ไม่ใช่เพราะพันธสัญญานั้นต่อต้านยิว แต่เป็นเพราะสนับสนุนชาวยิวอย่างมากต่างหาก!!

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บารุค ฮาบา สาธุการแด่พระองค์ผู้ซึ่งเสด็จมา

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 2557 


โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์
          มีวลีสั้นๆใน สดุดี 118:16  ที่ได้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของทั้งในโลกของชาวยิว และคริสเตียน วลีนี้ในภาษาฮีบรูคือ ברוך הבא , บารุค ฮาบา, "สาธุการแด่พระองค์ผู้ซึ่งเสด็จมา.."
พระเยซูและเหล่าสาวกได้พูดถึง “บารุค ฮาบา” ถึงสองครั้ง ครั้งหนึ่งขณะการเดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระองค์ (มัทธิว 21:9) และอีกครั้งในตอนท้ายของการตอบโต้กับเหล่าผู้นำศาสนาอย่างยืดยาว (มัทธิว 33:39)
          การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซู พระองค์ได้ทรงบนหลังลาตัวหนึ่ง เป็นไปตามคำทำนายใน เศคาริยาห์ 9:91 เหล่าสาวกของพระองค์ตั้งขบวนแถวบนถนนขณะพระองค์ทรงหลังลาผ่าน การประกาศนี้เป็นการเชื้อเชิญที่ยังไม่สมบูรณ์ ณ ขณะนั้น คือการประกาศว่าสำหรับพระองค์ผู้ทรงเสด็จเข้ามาในฐานะกษัตริย์ พระเมสสิยาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม
           (มธ.21:9) ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้ากับผู้ที่ตามมาข้างหลังก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนาแก่ราชโอรสของดาวิด ‘ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนา’ ในที่สูงสุด”
          (มธ.23:37-39) โอ เยรูซาเล็ม....บ้านเมืองของเจ้าจะถูกละทิ้งให้รกร้างแก่เจ้า...เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’”
          ครั้งที่สองที่มีการใช้คำว่า “บารุค ฮาบา” คือการพยากรณ์ของพระเยซูถึงการถูกทำลายของกรุงเยรูซาเล็ม และอนาคตของกรุงนี้ที่จะถูกสร้างขึ้นใหม่ ครั้งนี้พระเยซูได้ตำหนิเหล่าฟาริสีเพราะเขาได้ปฏิเสธพระองค์ และพระองค์ยังประทานพระสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเมื่อประชาชนจะร้องออกมาว่า “บารุค ฮาบา”
ถ้อยคำที่เขาเข้าใจกันผิด
         ท่ามกลางชาวยิวร่วมสมัย วลีนี้เป็นที่โด่งดังในช่วงปี 1990 โดย ลูบาวิทเชอร์ ฮัสสิดิม (Lubavitcher Hassidim)  ที่เขาได้ประกาศว่ามีนาคิม ชเนียร์ซัน (Menachem Schneerson)รับไบของพวกเขาเป็นพระเมสสิยาห์ เขาได้เสียชีวิตลงเมื่อเดือนมิถุนายน 1994 (ครบรอบ 20 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว) สาวกของเขาได้นำภาพโปสเตอร์รูปเขาติดทั้วกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับถ้อยคำว่า ขอสาธุการพระองค์ผู้ทรงเสด็จมา กษัตริย์พระเมสสิยาห์  เขายก สดุดี 118 ขึ้นมาอ้างถึงพระเมสสิยาห์เช่นเดียวกับที่เราได้เข้าใจกันในพระกิตติคุณ (ยกเว้นเรื่องของ “ตัวแทนผู้สมัคร” ในการเป็นเมสสิยาห์)   ยิวผู้เคร่งศาสนาอ่านสดุดีตลอดช่วงวันเทศกาลทางศาสนา คนอิสราเอลจะอ่านบทเพลงสดุดีในช่วงเวลายากลำบาก และมีความต้องการพิเศษ ด้วยเหตุนี้การอ่านสดุดี 118 ในที่สาธารณะอาจเป็นภาพที่เล็งถึงวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่ชนชาตินี้ในอนาคตก็ได้(มธ.21:42)  พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า“ ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา’
          สดุดี 118 สั่งว่าผู้ใดที่ได้รับการต้อนรับการเข้าสู่กรุงแยรูซาเล็มในฐานะพระเมสสิยาห์จะเป็นเหมือนศิลาที่ในตอนแรกถูก”ช่างก่อ” (นักศาสนศาสตร์ และผู้นำทางการเมือง) ได้ปฏิเสธเสีย – ปฏิเสธในตอนแรกและต้อนรับในตอนหลัง
          การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเติมเต็มให้คำพยากรณ์สมบูรณ์ และวันนั้นจะมาถึง วันที่พระองค์จะเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง และนี่เหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่มีแนวโน้มว่าประชาชาติจะอยู่ในช่วงวิกฤต และในวันสำคัญทางศาสนาที่มีการอ่านสดุดีโดยทั่วกัน และทุกคนจะร้องออกมาว่า บารุค ฮาบา

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จนถึงวาระสุดท้ายของโลก

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 


โดย โคดี้ อาเชอร์
          ในหนังสือกิจการได้บันทึกเหตุการณ์ของการเผยแผ่พระกิตติคุณจากกรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียและสุดปลายแผ่นดินโลก (กจ.1:8)  สิ่งที่เกิดเริ่มมาจากพื้นที่ๆหนึ่งแล้วขยายออกไปภายใน 30 ปีสู่ทวีปเอเชียบางส่วน ไปจนถึงเมืองต่างๆในยุโรปเเละมีผู้เชื่อมากมายคณานับ การขยายของพระกิตติคุณนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบ 6 ระยะ แต่ละระยะสรุปได้ดังนี้เป็นรูปแบบรายงานผลความก้าวหน้าของแต่ละเหตุการณ์
1. กิจการ 1:1 – 6:7 กล่าวถึงการก่อตั้งคริสตจักรเเละการสั่งสอนของเปโตรในเยรูซาเล็ม
• รายงานผลความก้าวหน้า: "การประกาศพระวจนะของพระเจ้าได้เจริญขึ้น และจำพวกศิษย์ก็ทวีขึ้นเป็นอันมากในกรุงเยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตเป็นอันมากก็ได้เชื่อในพระศาสนา"
2. กิจการ 6:8 – 9:31 อธิบายการเผยแพร่ของพระกิตติคุณผ่านจากแคว้นยูเดีย ความทุกข์ทรมานของสตีเฟนเเละคำเทศนาในแคว้นกาลิลีเเละแคว้นสะมาเรีย
• รายงานผลความก้าวหน้า: "เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรียจึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ประพฤติตนด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และด้วยรับความหนุนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น"
3. กิจการ 9:32 – 12:24 เปาโลกลับใจ โครเนลิอัสเเละชนต่างชาติอยู่กับเขาในเมืองซีซารียา เเละถูกต้อนรับในชุมชนของพระเจ้าเเละข่าวประเสริฐแพร่กระจายไปถึงเมืองอันทิโอก
• รายงานผลความก้าวหน้า: "แต่พระวจนะของพระเจ้าก็ยังแผ่เจริญมากขึ้น"
4. กิจการ 12:25 – 16:5 กล่าวถึงข่าวประเสริฐขยายไปสู่แถบเอเชียน้อยโดยผ่านคำสอนของเปาโลที่เกิดขึ้นในกาลาเทีย
• รายงานผลความก้าวหน้า: "คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และคริสตสมาชิกได้ทวีขึ้นทุกๆวัน"
5. กิจการ 16:6 – 19:20 ข่าวประเสริฐขยายออกไปยังหัวเมืองยุโรปอย่างเช่นโครินธ์เเละเอเฟซัส
• รายงานผลความก้าวหน้า: "พระวจนะของพระเจ้าก็บังเกิดผลเจริญและมีชัย"
6. กิจการ 19:21 – 28:31 ข่าวประเสริฐไปไกลจนถึงโรมเมืองศูนย์กลางของโลกในขณะนั้น เเละเปาโลได้ป่าวประกาศข่าวประเสริฐอย่างเสรีเเละเขียนจดหมายเหตุในขณะที่ เขาถูกจำคุก
• รายงานผลความก้าวหน้า: "เปาโลทั้งประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และสั่งสอนความจริงเรื่องพระเยซูคริสตเจ้าโดยเปิดเผยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดขัดขวาง"
          ความเจริญก้าวหน้าของข่าวประเสริฐนี้ในศตวรรษแรกนี้ เป็นที่หนุนใจพวกเราในทุกๆ วันนี้เเละให้เรามีความเชื่อร่วมกันในรูปแบบเดียวกันนี้ให้มันเกิดขึ้นสวนทางกับในยุคสุดท้าย นั่นคือข่าวประเสริฐนี้จะกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มเเละอิสราเอลทุกคนจะได้รับความรอด

ชีวิตแห่งฤทธิ์เดช

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 


โดย แดน จัสเตอร์
          มีการนิยมการสอนที่บิดเบือนเกี่ยวกับของประทานฝ่ายพระวิญญาณว่า มีเฉพาะข่วงยุคของการนำโดยอัครฑูตเท่านั้นเมื่อ 2000 ปีมาเเล้ว ถึงอย่างนั้นการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ได้เกิดร่วมสมัยตลอดมา ในการฟื้นฟูในเอเชียตะวันออก, อินเดีย, แอฟริกาและอเมริกาใต้ ซึ่งถูกบันทึกไว้โดยกลุ่มที่ศึกษาค้นคว้า ที่ไหนก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ปรากฎ จะเต็มไปด้วยฤทธิ์เดช "สิ่งดีๆก็เกิดขึ้น"
           ใน พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ มีการประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่มนุษย์ทั่วโลกซึ่งแสดงเอกลักษณ์พิเศษโดย การแสดงที่เห็นอย่างเด่นชัดอย่างเหนือธรรมชาติ ซึ่งบ่งบอกว่า "มีการปรากฎของพระวิญญาณบริสุทธิ์"  สิ่งนี้กล่าวถึงในคำเทศนาของเปโตรในพระธรรมกิจการบทที่ 2
กิจการ 2:17 "พระเจ้าตรัสว่าในวาระสุดท้าย เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราโปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง บุตราบุตรีของท่านทั้งหลายจะกล่าวคำพยากรณ์ คนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น"(รวมถึง โยเอล 2:28)
         สิ่งนี้ไม่ใช่ของประทานเฉพาะสำหรับอัครสาวกกลุ่มแรกของพระเยซูเท่านั้น  การจุ่ม(บัพติศมา)ในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประสบการณ์ที่ต้องเสาะหาจนกว่าจะได้รับ ตลอดทุกยุคสมัย
 มาระโกกล่าวว่า  มาระโก 16:17-18
มี คนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค" 
 
          บางคนกล่าวว่าข้อพระคำนี้ยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ อย่างไรก็ตามมันเป็นอยู่ตั้งแต่แรกซึ่งให้บทสรุปแก่พวกเราในสิ่งที่ผู้เชื่อ ในยุคแรกคิดและเข้าใจว่าเป็นคำสอนของเยชูวา(ชื่อเรียกพระเยซูคริสต์ในภาษา ฮีบรู)  เราไม่สามารถหยิบยกหรือเลือกแค่อะไรที่เราชอบในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์เป็นสิ่งที่เห็นพ้องอย่างครบถ้วนในประเด็นนี้ พระเยซูทรงกล่าวว่า
ยอห์น 14:12
"เรา บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา"
          สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงผู้เชื่อแต่ละคนโดยตัวเองจะทำได้มากขึ้น แต่มีศักยภาพที่จะสามารถทำได้ สิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าพระกายของพระคริสต์จะสามารถทำได้มากขึ้น โดยการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดำรงอยุ่ภายในได้สำแดงการทรงสถิตและฤทธิ์เดชที่ไม่จำกัด ทั้งในช่วงเวลาและพื้นที่ใน
         พระธรรมลูกาบทที่ 9 พระเยซูทรงส่งสาวกออกไปทั้งหมด 12 คน และในบทที่ 10 ส่งออกไปทั้งหมด 70 คน ทั้งสองบทนี้มีลักษณะเหมือนกัน พวกเขาไปยังเมืองต่างๆของอิสราเอล รักษาคนป่วยและป่าวประกาศถึงแผ่นดินของพระเจ้านั้นใกล้เข้ามาแล้ว การเยียวยารักษาและการปลดปล่อยแสดงให้เห็นว่าอำนาจแห่งความมืดพ่ายแพ้ต่ออำนาจแห่งแผ่นดินของพระเจ้า  ผมมีประสบการณ์หลายครั้งเกี่ยวกับการเผยพระวจนะที่ชัดเจน การเยียวยารักษาและการปลดปล่อยที่หายเป็นปลิดทิ้ง ผมทราบว่าพวกเราจำเป็นต้องเติบโตในความเป็นผู้ใหญ่ การมีสติปัญญารอบคอบ และมีสิทธิอำนาจในการครอบครอง แต่ต้องมีการจ่ายราคาซึ่งคุ้มค่า พระเมสซิยาห์พร้อมด้วยชีวิตก็ดีกว่าคำสั่งพร้อมด้วยความตาย