วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สติปัญญาและความยำเกรงพระเจ้า

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 21 สิงหาคม 2557

โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์
สติปัญญา หมายถึง ความสามารถหรือ ความรอบรู้ที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ก่อนที่เราจะทำในสิ่งที่ถูกต้องได้นั้น เราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าพระเจ้ามองเห็นบางคนที่อยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ  ดังนั้น พระองค์จะอนุญาตให้คนคนนั้นมีความเข้าใจ (ยน.7:17)

ถ้าใครบางคนแค่อยากได้ปัญญา เพื่อจะได้เป็นคนรู้มาก หรือเพื่ออวดฉลาด นั่นไม่ใช่ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง ที่พระองค์จะทรงประทานปัญญาให้กับคนนั้น(มธ.11.25) แต่ถ้าเราต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นั่นล่ะพระเจ้าจะประทานความกระจ่างให้เราได้ (อฟ.1.17, ยก.1.5)

ขั้นตอนแรกในการแสวงหาปัญญาขัดกับความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเราเสียแล้ว จุดเริ่มต้นของปัญญาคือความยำเกรงพระเยโฮวาห์  (สดด.111:10   สภษ 1:7)  ความยำเกรง หรือเกรงกลัวพระเยโฮวาห์ ในที่นี้คือ การที่จะรู้ว่าพระเจ้าลงโทษความบาป และเราทุกคนเป็นคนบาป 

เยชูวาห์(พระเยซูในภาษาฮีบรู)ให้คำนิยาม ความยำเกรงพระเยโฮวาห์ว่า เป็นการกลัวการถูกพิพากษาในบึงไฟนรกนิรันดร์หลังความตาย (ลก.12:5) นั่นคือบทสรุปของคำว่า ความยำเกรงพระเจ้า

แต่กระนั้นก็ดี ในตอนเดียวกัน พระเยซูยังพูดถึง 7 ครั้ง ในเรื่องการอย่ากลัวสิ่งใด มนุษย์หน้าไหน หรือสถานการณ์ใดใด    (ลก.12:4 7,11,22,26,29,32) ความเกรงกลัวพระเจ้าขจัดทุกความกลัวอื่นๆ ในชีวิต  ความยำเกรงพระเจ้าคือการที่ไม่มีความกลัวในภยันอันตรายใดๆเลย ดังนั้น ความยำเกรงพระเจ้า สามารถให้ความหมายเท่ากับ ความกล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง หรือความกล้าหาญด้านศีลธรรมด้วย

เมื่อเราตระหนักแล้วว่า พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษความชั่วร้าย ดังนั้นเราจะต้อง :

1. หยุดการกระทำของเราที่เป็นสิ่งที่ผิด 

2. ไม่กลัวความชั่วร้ายในผู้คน

3. สู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในโลก

สภษ. 8:13 การยำเกรงพระยาโฮวาห์ คือการเกลียดชังความชั่วร้าย

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ ที่เราส่วนใหญ่ กระตือรือร้นในเรื่องการเห็นแก่ตัว แต่เฉื่อยช้าในเรื่องการต่อสู้กับความชั่วร้าย ความยำเกรงพระเจ้าจะเป็นพลังอำนาจให้กับเราในการต่อต้านกับความชั่ว เริ่มต้นจากภายในเราก่อน และส่งผลไปยังผู้อื่น มีคนเคยกล่าวว่า สิ่งจำเป็นที่สำคัญในการมีชัยชนะต่อสิ่งชั่วร้ายก็คือ การที่คนดีไม่ลุกขึ้นทำอะไรเลยความยำเกรงพระยาโฮวาห์ จะทำให้คุณมีความกล้าหาญทางศีลธรรม กล้าในทางที่ถูกต้อง เพื่อจะลุกขึ้นต่อสู้กับความชั่วร้าย


ความยำเกรงพระเจ้าเป็น จุดเริ่มต้นของสติปัญญา แต่กระนั้นก็ดี คนจำนวนมาก ยังคิดว่าความยำเกรงพระเจ้า มีความสำคัญเป็นลำดับสุดท้ายที่จะต้องทำความเข้าใจ ขอให้เราเป็นคนที่ขยันขันแข็งในการแสวงหาความยำเกรงพระเจ้า อย่างที่พระเยซูทำไว้เป็นแบบอย่าง คือลักษณะนิสัยประจำวันของพระองค์ที่ลุกขึ้นอธิษฐานแต่เช้ามืด ด้วยการร้องไห้และการคร่ำครวญ (ยรม.5:24, โยบ28:28, มก 1:35, ฮบ.5:7)

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความรอดของชาวอาหรับ


"ในวันนั้น จะมีทางหลวงจากอียิปต์ถึงอัสซีเรีย และคนอัสซีเรียจะมายังอียิปต์ และคนอียิปต์ไปยังอัสซีเรียและคนอียิปต์และคนอัสซีเรียจะนมัสการด้วยกัน ในวันนั้น อิสราเอลจะเป็นที่สามร่วมกับอียิปต์และอัสซีเรีย ซึ่งเป็นพรท่ามกลางแผ่นดินโลก และเป็นพวกที่พระยาห์เวห์จอมทัพทรงอวยพรว่า ' อียิปต์ชนชาติของเรา อัสซีเรียผลงานแห่งมือขวาของเรา และอิสราเอลมรดกของเรา จงรับพรเถิด' " อิสยาห์ 19:23-25 
ตามที่ อิสยาห์ 19:23-25 ได้ระบุไว้ว่า ตะวันออกกลางไม่อาจเป็นพรได้ หากปราศจากการถือกำเนิดขึ้นใหม่ของอิสราเอล (ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงในปี 1948) และการคืนดีกันในที่สุดระหว่างชาวยิวและอาหรับ

พระกิตติคุณเรื่องพระเยซูจะมีชัยเหนือมุมมองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเมสสิยาห์ในอิสลามและศาสนายิว เมื่อเราอธิษฐานและประกาศพระกิตติคุณอย่างกล้าหาญ คนอาหรับและคนยิวก็จะได้รับการปลดปล่อยจากคำแช่งสาบที่อยู่เหนือพวกเขา และโดยร่วมกัน พวกเขาจะเป็นพระพรในท่ามกลางแผ่นดินโลก

เนื่องจากสันติภาพในเยรูซาเล็มนั้นแสดงถึงการคืนดีและการรื้อฟื้นที่สูงสุดของโลกนี้ ตามระเบียบแบบแผนและพระประสงค์ของพระเจ้า ประเด็นที่ว่านี้ ฝังลึกอยู่ในหัวใจและความคิดของชาวยิว อาหรับ และคนอื่นๆ ในกระบวนการสันติภาพของพระเจ้านั้น องค์สันติราชโดยเครื่องบูชาแห่งการไถ่ของพระองค์จะเชื่อมประสานความแตกร้าวที่ลึกระหว่างบุคคลและกลุ่มคน ความแตกแยกเช่นนี้แหละที่แบ่งแยกชาวมุสลิมและคนยิวในทุกวันนี้

เมื่อเราวิงวอนอธิษฐานเพื่อสันติภาพในเยรูซาเล็ม เราต้องตระหนักว่าการศึกของเรานั้นไม่ใช่ต่อชาวยิวเคร่งศาสนาที่ควบคุมพื้นที่ส่วนมากของเยรูซาเล็ม และก็ไม่ใช่ไปต่อกรกับชาวมุสลิมที่ควบคุมภูเขาที่ตั้งพระวิหาร เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อและเลือด ไม่ว่าคนพวกนี้จะมีทัศนะในทางลบต่อความเชื่อในพระเยซู พระเมสสิยาห์ อย่างแรงจัดและออกนอกหน้าขนาดไหน "แต่เราทำสงครามกับวิญญาณปฏิปักษ์พระเมสสิยาห์ที่ทำให้ทั้งชาวยิวและอาหรับมืดบอด นี่คือสงครามสูงสุด" 

หนึ่งในบรรดาองค์ประกอบสำคัญในการเตรียมทางเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า คือ การคืนดีกันของยิวและอาหรับในพระเมสสิยาห์ พระเจ้าต้องการจะเก็บกวาดเอาวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ในอิสลามและความมืดบอดต่อพระเมสสิยาห์ออกไป ซึ่งมันได้กดขี่ชาวยิวในเยรูซาเล็มและทั่วทั้งอิสราเอล 
"เราจะเทวิญญาณแห่งความโปรดปรานและการวิงวอนบนราชวงศ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม ดังนั้นเมื่อเขาทั้งหลายมองดูท่าน ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง เขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน เหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรคนเดียวของตน และร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนอย่างคนร้องไข้เพื่อบุตรหัวปีของตน" เศคาริยาห์ 12:10
พระเจ้าสัญญาว่าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์เหนือราชวงค์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม... แต่เหตุใดพระองค์จึงใส่ "ชาวเยรูซาเล็ม" เพิ่มเข้ามาด้วย ? นั่นก็เพราะว่า จะมีคนอาหรับมากมายและผู้เชื่อนานาชาติในเยรูซาเล็มด้วยเช่นกัน พระเจ้ากำลังจะเปิดน้ำพุเหนือราชวงศ์ดาวิด (คนยิว) และเหนืออาหรับ และคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มด้วย....

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การคืนดีระหว่างคนยิวและคนอาหรับ

         :: บทความจากหนังสือ 5 สายธาร หน้า46-48 ผู้แต่ง อ.อาเชอร์ อินเทรเตอร์ ::


          เช่นเดียวกันกับที่การคืนดีของคนผิวดำและคนผิวขาวเป็นกุญแจนำไปสู่การปลดปล่อยฤทธิ์เดชแห่งการฟื้นฟูในเมื่องต่างๆของสหรัฐอเมริกา การคืนดีระหว่างคนยิวและคนอาหรับก็เป็นกุญแจซึ่งนำไปสู่การปลดปล่อยการฟื้นฟู
ที่เยรูซาเล็ม ยูเดีย และสะมาเรีย (เวสแบงค์-ตะวันตก) และดินแดนส่วนอื่นๆ ของตะวันออกกลาง
          พระกิตติคุณของพระเยซูจะนำคนอาหรับให้มาถึงความรู้เรื่องความรอดในพระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ และพระกิตติคุณก็นำคนยิวมาสู่ความรู้เรื่องความรอดในพระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์เช่นเดียวกัน และพระกิตติคุณจะสอนเขาทั้งสองให้รักซึ่งกันและกัน โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณพระเจ้าและสำแดงชีวิตที่เป็นสักขีพยานของการคืนดีต่อกันและกันให้กับโลกซึ่งอยู่ล้อมรอบได้เห็น สักขีพยานการคืนดีกันในลักษณะนั้นจะปลดปล่อยฤทธิ์เดชของการฟื้นฟูซึ่งจะกระจายไปทั่วดินแดนตะวันออกกลาง
          ปัญหาการคืนดีกันของคนยิวและคนอาหรับนั้นมีความแตกร้าวซึ่งลงลึกมาก ความแตกแยกนี้ลงลึกยิ่งกว่าปัญหาระหว่างเชื้อชาติใดๆ ในประวัติศาสตร์โลก รากของความแตกแยกระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาวในสหรัฐฯ นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของการเป็นศัตรูกันระหว่างคนยิวและคนอาหรับซึ่งกินเวลา 3000 ปี นั้นแตกต่างกันมากทีเดียว
(อาโมส 1:11 โอบาดีห์ 1:10)
          ความตึงเครียดในปัจจุบันในดินแดนตะวันออกกลางคุกคามให้ัมีการเผชิญหน้ากันทางทหารระหว่างชนชาติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดดังกล่าวเกิดขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณมากกว่าในฝ่ายการเมื่อง แม้มุมมองที่ไม่ถูกต้องและอุปสรรคทางด้านเชื้อชาติระหว่างคนยิวและคนอาหรับจะลึกมากเพียงใดก็ตาม อุปสรรคเหล่านี้จะถูกพิชิตได้โดยฤทธิ์พระกิตติคุณ พระกิตติคุณได้ถูกหยิบยื่นถึงคนอาหรับและยิวแล้ว นิมิตหมายสำหรับพันธกิจการคืนดีระหว่างคนยิวกับคนอาหรับได้เริ่มขึ้นแล้ว
"ในวันนั้น อิสราเอลจะเป็นที่สามร่วมกับอียิปต์และอัสซีเรีย ซึ่งเป็นพรท่ามกลางแผ่นดินโลก" อิสยาห์ 19:24

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความชอบธรรมและสงครามฉนวนกาซา

บทความจาก REVIVE ISRAEL ภาคภาษาไทย ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2557 


โดยแอเรียล บลูเมนเธล

          กว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่เราอธิษฐานเผื่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา พระวิญญาณได้เน้นในหลายข้อความใน อิสยาห์ 51 บทหลักที่เกี่ยวกับ “ความชอบธรรม”
          ข้อ 1 : จงฟังเราซี เจ้าทั้งหลายผู้ขวนขวายหาความชอบธรรม เจ้าผู้แสวงพระเจ้า...
         คริสเตียนที่จริงใจส่วนใหญ่ พวกที่อยู่ฝ่ายอิสราเอลหรือต่อต้านอิสราเอล กำลังห่วงใยอย่างมากในประเด็นของความชอบธรรมและความยุติธรรม  แต่ในขณะเดียวกันที่เรากำลังดูผ่านสื่อที่เปิดเผยให้เห็นถึงสถานการณ์ในฉนวนกาซาด้วยจำนวนของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บที่กำลังเพิ่มขึ้นของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งสถานการณ์นี้เหมือนกับว่าเป็นเกมส์ตัวเลข คล้ายกับการแข่งขันฟุตบอลโลก นัดการแข่งขันที่เยอรมันเอาชนะบราซิล เกมส์การแข่งขันดูเหมือนว่าจะไม่สมดุลอย่างมาก ชาวอาหรับปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากกำลังล้มตาย ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตชาวอิสราเอลค่อนข้างต่ำ  และนี่ไม่ใช่ “สงคราม” ที่ธรรมดา แต่มันเป็นสงครามที่สำคัญมากทั้ง สงครามบนพื้นดินในสมรภูมิรบและสงครามอันรุนแรงบนโลกอินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายบนสังคมออนไลน์ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างบอกเล่าเรื่องของฝ่ายตนเพื่ออ้างความชอบธรรมทางศีลธรรมที่สูงกว่าอีกฝ่ายใครตกเหยื่อมากกว่ากัน มันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากว่าจะแยกได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกและอะไรคือสิ่งที่ผิดในสถานการณ์อันซับซ้อนเช่นนี้ จะสามารถพบความชอบธรรมของพระเจ้าได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้?
          ข้อ 2 : “จงมองอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย...”
          มีความจริงอันมั่นคงแห่งพระวจนะที่ลึกซึ้งถูกเปิดเผยที่นี่ ความชอบธรรมของพระเจ้าคือสิ่งแรกและมาก่อน ไม่ใช่ประเด็นของความถูกต้องของมนุษย์ที่บอกว่าถูกหรือผิด หรือไม่ใช่ประเด็นของการที่จำนวนร่างของผู้เสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย กำลังเพิ่มขึ้น แต่มันเกี่ยวกับการเลือกของพระองค์ คือสิทธิ์ของพระองค์ในฐานะที่เป็นพระเจ้าและผู้ครองโลกนี้ และการที่พระองค์จะเลือกตามพระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์ อิสยาห์ซึ่งเหมือนกับอัครทูตเปาโลในพระธรรมโรม ที่ชี้ให้เราเห็นการเลือกของพระเจ้าในกรณีของ อับราฮัมและซาราห์ อิสอัคและยาโคบ... หรือเหนือสิ่งอื่นใดคือการเลือกชนชาติอิสราเอล (ชนชาติ = ประชาชนและดินแดน) ซึ่งการทรงเลือกอิสราเอล เป็นสิ่งแรกของการเข้าใจในความชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าทรงความชอบธรรมสูงสุดเพราะว่าพระองค์คือพระราชาและผู้สร้างโลกนิรันดร์ ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะมาตรฐานทางศีลธรรมที่พระองค์ทรงส่งผ่านมายังมนุษย์ หรือไม่ใช่เพียงเพราะว่าอับราฮัมคือบุคคลที่ชอบธรรมที่สุดและเป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่ (แน่นอนว่า ลำดับความสำคัญถัดไปของความชอบธรรม มีมาตรฐานอันสูงอย่างไม่น่าเชื่อของศีลธรรมและความยุติธรรมที่เราต้องแสวงหาเพื่อเชื่อฟัง)
          ข้อ 3 : เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเล้าโลมศิโยน...”
          บทเรียนสำหรับเราในช่วงยุดสุดท้ายเช่นนี้คือ สิ่งนี้ เพื่อที่จะสามารถเข้าใจความชอบธรรมและความยุติธรรมได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับ อิสราเอล/เยรูซาเล็ม/ศิโยน อย่างแรกเราต้องยอมรับการทรงเลือก โดยเฉพาะเจาะจงคือการเลือกอิสราเอลและชนชาติยิวของพระองค์ ผ่านทางอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และเหนือสิ่งอื่นใดการเลือกหนึ่งเดียวของกษัตริย์แห่งอิสราเอล จอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เยชูวา(พระเยซูคริสต์ในภาษาฮีบรู) สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่อิสราเอลทำนั้นถูกต้อง  มากไปกว่านี้สิ่งที่อิสราเอลทำสำหรับผู้เชื่อทุกคน ก็ถูกเลือกโดยพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์คือผู้เดียวที่กำหนด เรียก ให้ความยุติธรรม และให้เกียรติสง่าราศี (โรม8:28-30) ถ้าเราไม่ได้จดจำลำดับความสำคัญทางพระคัมภีร์ สิทธิ์ของพระองค์ที่ทรงสัตย์ซื่อถึงการทรงเลือกอันสง่างามของพระองค์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สมควรเลย เราอาจจะตกอยู่ในอันตรายของการหลอกลวงที่จะเกิดขึ้นเสมอ โดยพยายามจะค้นหาให้ได้ว่าใครที่ถูกหรือผิดมากกว่ากันในท่ามกลางสถานการณ์อันซับซ้อนอย่างมากมายเช่นนี้ และที่ฉลาดมากไปกว่านี้คือการถูกล้างสมองจากสื่อ “หามิได้เลย ถึงแม้ทุกคนจะอสัตย์ ก็ขอให้พระเจ้าทรงสัจจะเถิด…” (โรม 3:4)
ความสงสารที่มีต่อชาวกาซ่า
ยิ่งเราสงสารชาวกาซ่ามากเท่าไร เรายิ่งควรจะต้องทำลายอำนาจเผด็จการของมุสลิมหัวรุนแรงฮามาส (Hamas) ยิ่งเรามีความสงสารต่อพวกเขาน้อยเท่าไร มันยิ่งง่ายกว่าที่เราจะยอมรับการหยุดยิงและปล่อยให้ฮามาสเดินหน้าในการครอบครองต่อไป
ให้เราจำไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า (YHVH คือพระนามพระเจ้า) ของกองทัพ พระองค์สามารถให้พระวิญญาณแห่งชัยชนะ สงครามก็สามารถถูกชนะได้ ความชอบธรรมสามารถมีชัย พระเจ้าไม่ทรงเกรงกลัว จนถึงทุกวันนี้พระองค์ไม่เคยพ่ายแพ้สงคราม พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแม่ทัพของกองทัพแห่งสวรรค์ (อพยพ15:2, โยชูวา5:13, วิวรณ์19:11)
          พระเยซูคริสต์สอนเราว่าในสงครามฝ่ายวิญญาณ เราต้องผูกมัดผู้มีกำลังมากเป็นสิ่งแรกและจากนั้นริบเอาสิ่งของไป (ลูกา11:21) ผู้มีกำลังมากในที่นี้คือวิญญาณของอิสลามหัวรุนแรง สิ่งของในที่นี้คือจิตวิญญาณของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องการความรอด เราเชื่อว่าถ้าเราอธิษฐานผูกมัดพลังอำนาจของมารที่อยู่เบื้องหลังสงครามนี้ จากนั้นกลุ่มก่อการร้ายจะถูกทำลาย และคลื่นลูกใหม่แห่งเสรีภาพทางศาสนา ความรอด สันติภาพ และความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองจะตามมา